Frisbee Letter 2024 จดหมายประจำปี Frisbee 2024
- Frisbee & Co.
- Jan 15
- 1 min read
Updated: Jan 16
พอร์ตการลงทุน (1 Dec 23 - 30 Nov 24)
- ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10-11% หากรวมผลตอบแทนถึงสิ้นเดือน DEC 24 เราจะได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับประมาณ 23-25%(Constant Currency) ทั้งที่เรามีหุ้นในหลากหลายตลาด และมีการขาดทุนจากหุ้น lululemon เรา มีหุ้น US ประมาณ 70% ของพอร์ต
- หากนับเฉพาะหุ้น US เราทำตอบแทนได้เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 10% แม้ว่าจะมีผลขาดทุนจาก lululemon ก็ตาม
- เราขาดทุนค่าเงินไปประมาณ 3% ในหุ้น US
- หากนับผลตอบแทนจากหุ้น US และไม่นับผลกระทบค่าเงิน(ผลตอบแทนในสกุล US Dollar) ผลตอบแทนหุ้น US ของเราอยู่ที่ 23-25% (เรามีหุ้นอยู่ในหลายตลาด) และผลตอบแทนหุ้น US ของเราหากรวมถึงสิ้น Dec 24(30 Nov 23-31 Dec 24) อยู่ในระดับ 30-35%
- ในปี 2024(1Jan 24 ถึง 31 Dec 2024) Snp500 มีหุ้นเพียง 30% ที่ชนะตลาด แต่หุ้น US เรา 3 จาก 4 ตัว ชนะตลาด (75% ชนะตลาด) และหุ้นที่เราชนะตลาดมากที่สุด ไม่ได้มาจาก Mag7 ด้วยซ้ำ
- หลังจากสิ้น Dec 24 พอร์ตของทีมงานเรามีผลตอบแทนในระดับ 90-140% ภายในเวลาประมาณ 3 ปี 11 เดือน ซึ่งน่าประทับใจและเกินเป้าหมายอย่างมาก
เราได้รับผลตอบแทนที่เกินความคาดหมายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน(เป้าหมายของเราคือผลตอบแทนระดับ 8-10% ) มีคำถามถามเราเข้ามามากมายว่าเรามีความเห็นอย่างไรบ้างต่อตลาดต่อภาวะเศรษฐกิจ ขายหุ้นทำกำไรดีมั๊ย และข่าวๆต่างๆ ทีมงาน Frisbee มีไอเดียต่อคำถามเหล่านี้และแนวทางต่อสิ่งที่จะเกิดต่างๆดังนี้
หุ้นขึ้นมาแล้ว 2 ปี แล้วปีต่อไปตลาดหุ้นจะเป็นยังไง
เราตอบได้ว่า “ไม่ทราบ และไม่คิดจะทราบ” ในกรณีที่คุณทราบหรือมีคนที่ทราบ เขาไม่น่าจะใช้นักลงทุนแล้ว น่าจะเป็นผู้วิเศษมากกว่า การที่เราพยายามจะถามว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไรในปีถัดๆไป ก็พอๆกับคำถามว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไรหรือหวยจะออกที่เลขอะไร มันมีการคาดเดาอย่างมากมาย แต่หาความถูกต้องแทบไม่ได้ ถ้าคุณลองกลับไปดู ตามเพจการลงทุนต่างๆที่เขียนมาทุกวันแล้วลองอ่านย้อนกลับไปสัก 2 ปี คุณจะเห็นว่ามันแทบจะหาความจริงไม่ได้ เรียกว่าความถูกต้องต่ำมากๆ ที่สำคัญคือ คนที่คิดเหล่านี้มักจะไม่คิดว่าการไม่ลงทุนก็มีค่าเสียโอกาสมหาศาลเช่นกัน
เราอยากพาทุกท่านย้อนกลับไป ปี 2022 ปีนั้นหุ้นตกลงอย่างมาก Nasdaq ตกลงกว่า 20% หลายๆบริษัทตกลงในระดับเกินกว่า 50% ข่าวร้ายท่วมตลาด มีทั้งสงครามยูเครน ข่าวเงินเฟ้อ เงินดอลลาร์จะเสื่อมค่า การขึ้นดอกเบี้ยของ FED สื่อๆต่างๆและเพจต่างๆเกี่ยวกับการลงทุนชี้ชัดว่า แย่แล้วและจะแย่ลงไปเรื่อยๆ ไม่มีใครเลยบอกว่าให้รีบซื้อหุ้นแล้วคุณจะร่ำรวยมหาศาลในปี 2023 และ 2024 ถ้าคุณเชื่อสิ่งเหล่านั้น คุณจะพลาดโอกาสมหาศาลที่เกิดขึ้นใน 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นการเติบโตระดับประวัติศาสตร์ ของตลาดหุ้น US ครั้งใหญ่ 2 ปีซ้อน เลยทีเดียว ในช่วงปี 2022 เรามักจะบอกกับทุกคนว่า
กว่าร้อยปีที่ผ่านมา มูลค่าของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกๆ 8 ปี ซึ่งตลาดหุ้น US ให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมมากๆ
ที่ผ่านมา ในทุกๆช่วงเวลา 5 ปี ไม่เคยมีครั้งไหนที่ S&P ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกเลย
เงิน 1 ดอลลาร์ ที่ได้ลงทุนใน S&P500 เมื่อ ประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา จะกลายเป็นเงินมากกว่า 300 ดอลลาร์ หรือถ้าคุณลงทุน 1 ลบ เมื่อ 40 ปีก่อน เงินตรงนั้นจะกลายเป็นกว่า 300 ล้านบาท หรือผลตอบแทนมากกว่า 30,000% (ณ สิ้นสุดปี 2024)
คุณลองนึกภาพว่าถ้ามันเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ คุณควรขายหุ้นตอนไหน เอาจริงๆคือใครจะคิดขายสินทรัพย์ที่ในอนาคตจะสร้าง มูลค่าขนาดนี้ เราบอกทุกคนแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน บอกเกือบจะทุกปี แต่คนที่เชื่อแทบจะนับคนได้ แทบทุกคนมักจะเชื่อเพจการลงทุนหรือเพจสร้างพลังงานบวกแบบจอมปลอมทั้งหลาย ที่ปั่นหัวคุณไม่เว้นแต่ละวันว่าตลาดพังแล้ว ถ้าคุณกลับไปบอกตัวเองเมื่อปี 2022 ตอนที่ Panic ขั้นสุดได้ คุณจะบอกตัวเองว่ายังไง ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่ารู้งี๊ ไม่เชื่อพวกนั้นก็ดี แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ยังอ่านเพจคุณภาพต่ำที่มองย้อนกลับไปแล้วบทความที่เขียนผิดพลาดเกือบทั้งหมดได้อยู่ เราขอบอกว่าทีมงาน Frisbee ทุกคนไม่มีใครขายหุ้นออกในปี 2022 เพราะเหตุผลของการกลัวตลาดแม้แต่น้อย ถ้าคุณเชื่อเราวันนั้นคุณจะได้รับผลตอบแทนในระดับมากกว่า 50% ในเวลาเพียง 2 ปี เรามีข้อแนะนำดีๆว่า ให้ลดการเสพ พลังงานลบ จากเพจการลงทุนหรือลดการเล่นโซเชียลจะดีกว่า อยากให้หันมามองความจริงแทนการเสพสื่อโซเชียลหรือหนังสือในสไตล์ How To ซึ่งของพวกนั้น มักจะเน้นการเขียนเพื่อให้ถูกใจคนฟังหรือคนอ่านโดยที่ไม่ต้องมีความจริงแต่อย่างใดในข้อมูลเหล่านั้นเลย ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณเลิกอ่านเพจเหล่านั้นหรือกลับไป Unfollow เรารับรองได้ว่าชีวิตและผลตอบแทนการลงทุนคุณจะดีขึ้นแน่นอน
Netflix จะเจ๊งในปี 2022 หรือ?
กรณีที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ NFLX ในปี 2022 ราคาหุ้นตกจากจุดสูงสุดที่ 690 USD มาเหลือเพียง 175 USD ในปี 2022 เนื่องจาก Subscriber ลดลงเป็นครั้งแรก คุณลองไป Search คำว่า Netflix เจ๊ง ใน Youtube.com ดูได้เลยจะมี Influencer จำนวนมากทำคลิปเล่าว่าบริษัทจะเจ๊งยังไง เชียร์ขายทุกวัน หรือไม่ก็เอาเรื่องที่นักลงทุนระดับโลกหรือกองทุนระดับโลกขายหุ้นทิ้งมาเล่าสร้างความหวาดกลัวไม่เว้นแต่ละวัน ผ่านไป ไม่ถึงสามปี NFLX กลับมาทำ ALL TIME HIGH ที่ 936 USD ในช่วงปลายปี 2024 เราอยากเล่าเรื่องที่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินและน่าสนใจกว่าว่ามีนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง ได้ถือ NFLX ผ่านช่วงเวลานั้น นักลงทุนกลุ่มนั้นคือพวกเราเอง และเราได้ทำการวิเคราะห์ NFLX มาอย่างต่อเนื่อง (คุณสามารถไปอ่านบทความย้อนหลัง 3 ปีกว่าที่ผ่านมาได้ว่าเราพูดถึง NFLX อย่างไร) เราไม่ได้ทราบราคาแต่เราทราบมูลค่าของบริษัท และผ่านไป 2 ปีสิ่งที่เราคิดก็พิสูจน์ตัวมันอย่างชัดเจน ในขณะที่เพจการลงทุนต่างๆก็เปลี่ยนเรื่องพูดแต่ไม่เคยต้องรับผิดชอบที่ตัวเองเคยเชียร์ขายหรือบอกว่าบริษัทจะเจ๊งแม้แต่นิดเดียว
เด็ดดอกไม้แล้วรดน้ำวัชพืช กลยุทธ์สุดนิยมในปี 2025
หลังจากที่ผ่านปี 2022 มาอย่างทุลักทุเล เราก็ได้เจอกับ 2 ปีที่ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนที่โดดเด่น ตั้งแต่ 2023-2024 เราได้เป็นการทำ ALL TIME HIGH ของหุ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนจำไม่ได้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สิ่งที่นักลงทุนชอบคิดก็คือ ขายหุ้นตัวที่กำไรดีแล้วซื้อตัวที่ขาดทุน หรือขายกองทุนที่กำไรดีมาใช้แล้วถือกองทุนที่ขาดทุนต่อไปให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรามักเรียก กลุยุทธ์ นี้ว่า เด็ดดอกไม่แล้วรดน้ำวัชพืช มันเหมือนกับว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแล้วคุณจะขายนักเตะที่ดีที่สุดของปีออกไปเพื่อทำกำไร แล้วพยายามเก็บนักเตะที่ที่คุณภาพต่ำที่สุดไว้ เผื่อว่าปีหน้าน่าจะค่าตัวขึ้น คุณลองนึกภาพทีมฟุตบอลที่บริหารแบบนี้สิว่ามันจะประสบความสำเร็จได้หรือเปล่า พอร์ตหุ้นก็เช่นกัน เราไม่ได้บอกว่าให้ขายกองทุนหรือหุ้นที่ขาดทุนแล้วมาซื้อตัวที่กำไร แต่เราอยากบอกว่ามันไม่มีกลยุทธ์อะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่คุณจะสรุปว่าคุณจะซื้อ ถือ หรือขายไม่ใช่เพราะมันกำไรหรือเพราะมันขาดทุนแต่มันต้องเกิดจากการเข้าใจบริษัทและมูลค่าก่อนต่างหาก เราสามารถอ่านข่าวหุ้นตอนเช้าและพบว่ามีกลยุทธ์มากมายให้เลือก แต่เราไม่คิดว่ามันจะได้ประโยขน์อะไรเลย อย่าง S&P500 ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ถ้าคุณขายตอนหุ้นขึ้น 30% คุณจะพลาดโอกาสในการที่หุ้นเติบโต 30,000% ไปอย่างน่าเสียดายที่สุดเลยทีเดียว ถ้าเราคิดว่าหุ้นคือการถือสัญชาติ คุณคิดว่ามีคน US สักกี่คนที่อยากเลิกเป็นคน US เมื่อ 40 ปีที่แล้วเพราะประเทศเติบโตตลาดหุ้นขึ้นมาแล้ว ยอมขาย Passport US(เด็ดดอกไม้) แล้วมาถือ Passport ไทย(รดน้ำวัชพืช) ดีกว่า ฟังแล้วเหมือนคนเสียสติใครจะทำแบบนั้น แต่ในตลาดหุ้นเราทำอะไรที่เสียสติแบบนั้นได้อย่างหน้าตาเฉยแถมมาเขียนกันเป็นตุเป็นตะสร้างเป็นกลยุทธ์อีกต่างหาก เราอยากย้ำอีกครั้งว่า หยุดมองหากลยุทธ์แล้วมองหาความรู้แทน เป็นอีกครั้งที่คำว่า “The More You Learn The More You Earn” ใช้ได้เสมอ
ขายหุ้นเมื่อไหร่
เราถือหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท สิ่งที่แตกต่างคือเราสามารถขายได้ และเราก็ขายหุ้นมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยหลายเหคุผลเข่นกัน แต่ถ้า mind set เราคือการเป็นเจ้าของเราคงไม่คิดจะซื้อๆขายๆ ไอ้เหตุผลว่าหุ้นขึ้นแล้วขายจึงไม่ใช่เหตุผลที่ดีสำหรับเจ้าของกิจการ เหตุผลในช่วงปีหลังๆของเราในการขายค่อนข้างเปลี่ยนไปบ้างสักเล็กน้อย แต่โครงสร้างยังมองไปที่ คิดว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทเหมือนเดิม
เราคิดผิด อันนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่เราเจออยู่เรื่อยๆ เราพยายามจะหลีกเลี่ยง การขายในเหตุผลนี้ให้มากที่สุด ด้วยการศึกษากิจการให้ละเอียดขึ้น ถ้าเราศึกษากิจการได้ดีพอ เหตุผลว่าคิดผิดก็น่าจะลดลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายปีหลังคือธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ทำให้บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีอาจจะไม่ดี “เราเรียนรู้ที่จะขายไม่ว่าเราจะขาดทุนหรือไม่ถ้าเราคิดผิด“
มีธุรกิจที่เราชอบกว่าและราคาดีกว่ามากๆ เราจะดีใจมากๆถ้าเรา ได้โอกาสขายด้วยเหตุผลนี้ แต่สิ่งที่เราขอย้ำคือ “ของใหม่ต้องดีกว่าของเดิมมากๆ“ การที่เราถือบริษัทใดมานานๆ ความรู้ความเข้าใจต่อบริษัทจะสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่เรายอมรับสิ่งใหม่ให้เข้ามาแทนที่ ต้องมีส่วนต่างกันพอสมควรที่จะทำให้เรากล้าที่ขายสิ่งที่เรารู้จักมากกว่า ไปหาสิ่งใหม่ที่ไม่ว่าเราจะศึกษาอย่างไรก็มักจะรู้จักต่ำกว่า
เพื่อความสบายใจ ในปีหลังๆเราเดินทางกับหุ้นมาอย่างยาวนาน สิ่งที่เราเรียนรู้คือ เราต้องรู้สึกสบายใจพอที่จะอยู่กับมันด้วย คุณลองคิดดูว่าถ้าคุณทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จแต่ระหว่างการเดินทางมันย่ำแย่ตลอดบางทีมันอาจจะไม่ใช่ทางที่เหมาะสมนัก เรายกตัวอย่าง ความสบายใจ เช่น บางครั้งบริษัทมีโปรเจคใหม่ๆที่อาจจะประสบความสำเร็จแต่ต้องลงทุนมหาศาล บริษัทมีมูลค่าสูงเกินไป บริษัทมีหนี้เยอะมาก อันที่จริงอะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้สึกไม่ดีที่จะทำเราเลือกที่จะไม่ทำไปเลยดีกว่าแม้ว่ามันอาจจะสร้างผลกำไรที่ดีแต่ถ้าเราไม่รู้สึกดีที่จะถือในระยะยาวเราเลือกที่จะไม่ถือมันไปเลยดีกว่า
จะถือหุ้นอีกนานแค่ไหน
เราถือหุ้นเพราะเราต้องการสร้างชีวิตแห่งความมั่งคั่ง เราต้องการเปลี่ยนชีวิตด้วยหุ้น ดังนั้นการได้กำไร 10% 20% หรือแม้แต่ 30% มันไม่ได้มากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณเลย การที่จะเปลี่ยนชีวิตเรามองในระดับ 1,000% หรือว่าบริษัทมีมูลค่าเพิ่ม 10 เท่า แน่นอนว่าบางครั้งคุณอาจจะต้องถือหุ้นตัวนั้นเป็นเวลานานมากเกิน 10 ปีเพื่อที่จะให้เวลามันเติบโต ซึ่งบางครั้งไม่ได้หมายความว่าตัวใดตัวหนึ่งจะทำได้ถึงขนาดนั้น ระหว่างทางเราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหุ้นที่ถือ แต่เป้าหมายของ พอร์ตของเราคือการเติบโตในระดับหลายเท่ามันถึงจะเปลี่ยนชีวิตเราได้ ถ้าคุณมองกลับไปที่ S&P500 ที่มูลค่าเพิ่มกว่า 30,000% ใน 40 ปีแล้วมันสามารถเปลี่ยนความมั่งคั่งของประชาชนชาว US ทำให้ US เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่มีใครเทียบเคียงได้ ถ้ามันเติบโตแค่ 20-30% มันไม่เปลี่ยนความมั่งคั่งของประเทศใดๆ กับพอร์ตหุ้นส่วนบุคคล เราก็คิดเหมือนอย่างนั้น การมานั่งดีเบตว่า หุ้นขึ้น 20%-30% มันเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี ไม่มีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนไหนที่ทำกำไรได้ 20-30% แล้วตื่นเต้นดีใจจนต้องรีบขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร เราถือหุ้นเหมือนถือกิจการ คุณลองมองว่าคุณทำกิจการร้านค้าด้วยเงินลงทุน 1 ลบ แล้วพรุ่งนี้มีคนมาขอซื้อที่ 1.3 ลบ คุณจะขายร้านคุณ แล้วก็ไปหาวิธีการสร้างร้านใหม่มั๊ย ในชีวิตของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย เขาเปลี่ยนชีวิตได้ด้วยการที่บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเทียบกับตอนเริ่มต้น ถ้าคุณคิดจะเปิดร้านเพื่อเตรียมขายมันทิ้ง ชีวิตนักธุรกิจของคุณคงไม่มีวันประสบความสำเร็จเช่นกัน ปีหลังๆเรามองตัวเองว่าเป็นนักลงทุนน้อยลง แต่มองตัวเองเป็น “นักธุรกิจที่ไม่บริหารธุรกิจ” มากกว่า เรามองการซื้อหุ้นเหมือนว่าเราทำธุรกิจ แค่เพียงเราไม่บริหารคนเองเท่านั้น แต่สิ่งที่เหลือทั้งหมดของเราทุ่มเทไปกับการศึกษาธุรกิจ และเราก็รู้สึกตลอดเวลาว่า แม้ว่าเราพยายามจะศึกษาธุรกิจให้มาก แต่มันมีอีกมากๆตลอดเวลาจริงๆที่เรายังต้องศึกษาเพิ่มเติม เราถือหุ้น เพราะมันเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม เรามักจะหยุดถือเมื่อมันหมดความยอดเยี่ยม และเรามักจะถือให้ยาวนานที่สุดตราบเท่าที่มันยังยอดเยี่ยม และถ้าหากมันจะยอดเยี่ยมตลอดไปเราก็ถือมันตลอดไป เช่นกัน งานสำคัญที่สุดของเราไม่ใช่การซื้อขายแต่เป็นการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าความยอดเยี่ยมนั้นยังคงอยู่กับบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ
Benchmark (1 Dec 23 – 30 Nov24)
USD = 34.3 THB (30 Nov24)
Euro = 36.28 THB (30 Nov24)
Dow Jone +26.76%
Nasdaq +34.78%
S&P500 +32.56%
บทความนี้เขียนตอนต้นเดือน Jan 2025
ป.ล. ทางทีมงานตั้งใจเขียนจดหมายประจำปี เพียงเพื่อแชร์ประสบการณ์การลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะชี้นำหรือแนะนำการซื้อหุ้นตัวใดๆ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนในปี 2025
Frisbee Letter 2023
Frisbee Letter 2022
https://www.frisbeeandco.com/post/frisbee-letter-2022-จดหมายประจำปี-frisbee-2022-frisbee-letter-2022
Frisbee Letter 2021
Comments